|
 |
ส่วน ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ได้แนะนำว่า ถ้าน้ำหนักตัว 34 - 44 กิโลกรัม ให้บริโภค 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน, น้ำหนักตัว 45 -56 กิโลกรัม ให้บริโภค 2 ช้อนโต๊ะครึ่งต่อวัน, น้ำหนักตัว 57 - 67 กิโลกรัม ให้บริโภค 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน, น้ำหนักตัว 68-78 กิโลกรัมให้บริโภค 3 ช้อนโต๊ะครึ่งต่อวัน, ส่วนน้ำหนักตัว 79 กิโลกรัมขึ้นไป ให้บริโภค 4 ช้อนโต๊ะครึ่งต่อวัน สำหรับการบริโภคเพื่อบำบัดโรคสมองเสื่อม ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ได้กล่าวว่าไตรกลีเซอไรด์สายปานกลางที่ใช้สำหรับการรักษา อยู่ที่ 20 กรัมต่อวัน หากคำนวณปริมาณน้ำมันมะพร้าว จะอยู่ที่ 35 มิลลิกรัม หรือ 7 ช้อนชา อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนมาก มีความทนทานต่อน้ำมันมะพร้าวต่างกัน ดังนั้น จึงควรบริโภคน้อยๆ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น จนถึง 7 ช้อนชา โดยเริ่มจาก 1 ช้อนชา รับประทานร่วมกับอาหารในตอนเช้า จากนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุก 2-3 วัน จนกระทั่งท่านสามารถทนต่อการบริโภคทีเดียว 7 ช้อนชา การบริโภคน้ำมันมะพร้าวร่วมกับอาหาร โดยเฉพาะอาหารเหลว เป็นวิธีที่ดีสุด เพื่อที่จะป้องกันปัญหาท้องเดิน อย่างไรก็ตาม นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า เราแนะนำให้คนทั่วไปกินน้ำมันมะพร้าวประมาณ 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน และจะเพิ่มขึ้นตามน้ำหนักตัวซึ่งกลับจะลดน้ำหนักหรือไขมันเลือด แต่ทั้งนี้เมื่อน้ำหนักลดลงแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วย อย่ากินแป้ง ข้าวขัดขาว อาหารขยะ นม รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมวัว น้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ ให้หันมากินข้าวกล้องและผักผลไม้มากขึ้น รวมทั้งหมั่นออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินออกไปด้วย แม้ว่ากะทิ 4-5 ส่วน จะมีน้ำมันมะพร้าว 1 ส่วน แม้จะให้ผลเท่ากันในเชิงเปรียบเทียบปริมาณการบริโภค แต่ก็ต้องระวังด้วยเพราะกะทิมักจะกินกับแป้งขัดขาว ในขณะที่ขนมที่มีกะทิก็ต้องไม่ให้หวานเกินเช่นกัน นอกจากนี้แล้วผมยังเห็นว่ามื้อที่เหมาะแก่การดื่มสดมากที่สุดคือมื้อเช้า เพราะเป็นมื้อที่มีการอดอาหารมาหลายชั่วโมง โดยเฉพาะหากมีการลดแป้งและน้ำตาลตอนมื้อเย็นก่อนหน้า สารคีโตนในน้ำมันมะพร้าวจะมาเลี้ยงเซลล์สมองได้ดีกว่ามื้ออื่น แต่ถึงกระนั้นสำหรับบางคนที่ไม่สามารถดื่มน้ำมันมะพร้าวในคราวเดียวได้ ก็สามารถแบ่งดื่มได้ระหว่างแต่ละมื้อตามความเหมาะสมของร่างกาย แต่แนะนำให้ดื่มก่อนมื้ออาหารสัก 1 ชั่วโมง เพื่อดูว่าหลังได้รับพลังงานจากน้ำมันมะพร้าวแล้ว เราจะรู้สึกอยากกินอาหารอีกเท่าไหร่ให้พอดีกับความต้องการหลังดื่มน้ำมันมะพร้าว (ทั้งไม่ให้มากไปและน้อยไป) ในความเห็นของผมเพิ่มเติม น้ำมันมะพร้าวจัดเป็นอาหารฤทธิ์ร้อน ดังนั้นก็จะต้องพิจารณาสมดุลร้อนเย็นอีกด้วย ดังนั้นการวัดอุณหภูมิในร่างกายถ้าในช่วงร้อนเกินหากจะบริโภคน้ำมันมะพร้าวจะต้องจัดสมดุลอาหารฤทธิ์เย็นเข้าช่วยด้วย เช่น น้ำใบบัวบก ใบเตย ฯลฯ แต่ถ้าผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วหรือผู้ชายที่มีอุณหภูมิใต้ลิ้นเฉลี่ย 5 วันในช่วงเช้าต่ำกว่า 36.3 องศาเซลเซียส หรือในผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือนมีอุณหภูมิต่ำกว่า 36.4 องศาเซลเซียส น้ำมันมะพร้าวจะเหมาะที่จะบริโภคอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีคนที่รับประทานยากเพราะความมันของน้ำมันนั้น ก็มีเทคนิคเล็กน้อยคือดื่มน้ำอุ่นๆตามเล็กน้อย ส่วนถ้ามีเครื่องดื่มอย่างอื่นเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำเอนไซม์ให้ดื่มหลัง หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นที่มีรสชาติหวานให้ดื่มหลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ส่วนคนที่รับประทานสดๆ ไม่ได้ความจริงแล้วก็ยังสามารถผสมในอาหารได้อีกหลายเมนู เช่น การใช้น้ำมันสกัดเย็นไปร่วมผสมหุงข้าวเสมือนเป็นข้าวมันมะพร้าวร่วมกับธัญพืชงอกหลายๆชนิด หรือเมนูผัดทอดที่เหมาะกับน้ำมันสกัดเย็นที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นเมนูไข่ ทั้งไข่ดาว ไข่เจียว ไข่กวน กลิ่นมะพร้าวจะมีความกลมกลืนคล้ายเนยได้อย่างลงตัว แต่ถ้าเป็นไปได้การดื่มสดจะมีคุณภาพมากที่สุด ส่วนน้ำมันสำหรับปรุงอาหารที่เป็นสีเหลืองนั้น คุณภาพไม่เหมาะกับการดื่มสด เพราะคุณสมบัติด้อยกว่าน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เพียงแต่เราใช้ไปเพื่อไม่ต้องไปใช้น้ำมันชนิดอื่นที่มีโทษต่อสุขภาพร่างกายเราเท่านั้น
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9570000038282
|